โรคหัดในเด็ก เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่พบการระบาดได้ตลอดปี แต่มักระบาดมากขึ้นในฤดูหนาว เด็ก ๆ จึงมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหัดได้มากขึ้น โรคหัดจัดเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังเพราะสามารถติดต่อกันได้ง่าย ซึ่งจะเกิดอาการไข้ออกผื่น และนอกจากโรคหัดแล้วก็ยังมี ไวรัส มือ เท้า ปาก ที่ต้องระวังให้ลูกน้อย และในบางครั้งโรคหัดอาจพบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
โรคหัดเกิดจากเชื้อไวรัส Measles ซึ่งติดต่อจากการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อนอยู่เข้าไปในร่างกายหรือการสัมผัสโดยตรงกับน้ำมูกน้ำลายของผู้ป่วยที่เป็นโรคหัด เชื้อไวรัสหัดเป็นเชื้อที่สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยโรคหัดสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ถึง 4 วัน หลังผื่นเริ่มขึ้น พบว่าเชื้อไวรัสที่ออกมาสามารถอยู่ในอากาศได้นานถึง 2 ชั่วโมง และหากผู้ที่ไปสัมผัสเชื้อยังไม่มีภูมิคุ้มกัน จะมีโอกาสติดโรคหัดได้สูงถึงร้อยละ 90
ลักษณะอาการของ ‘โรคหัด’
ทำให้เกิดอาการไข้ออกผื่น โดยจะเริ่มมีอาการหลังจากสัมผัสเชื้อภายใน 8-12 วัน
-
ระยะไข้ อาการจะเริ่มด้วยอาการมีไข้ มีอาการไอเด่น และตาแดงแฉะ ปากแดง ร่วมกับมีอาการของหวัด เช่น มีน้ำมูกไหล และมีท้องเสียร่วมด้วยได้ จากนั้นอาการต่าง ๆ จะเป็นมากขึ้น ไข้สูงขึ้น อาจมีอาการถ่ายเหลวบ่อยครั้ง
-
ระยะผื่น หลังจากมีไข้ 3 ถึง 4 วัน จะเริ่มมีผื่นที่ผิวหนัง โดยผื่นจะมีสีแดงในระยะแรก โดยจะเริ่มเห็นผื่นขึ้นที่บริเวณตีนผมและซอกคอก่อน แล้วค่อย ๆ ลามไปตามใบหน้า ลำตัว และแขนขาของเจ้าตัวเล็ก โดยผื่นจะแพร่กระจายไปทั่วตัว ในเวลาประมาณ 2 - 3 วัน จากนั้นไข้ก็จะเริ่มลดลง เมื่อใกล้หายผื่นจะเปลี่ยนสีเข้มขึ้น เป็นสีแดงคล้ำ หรือน้ำตาลแดง ซึ่งอาจอยู่ได้นานถึง 1 สัปดาห์ และอาการไออาจอยู่ได้นานถึง 2 สัปดาห์
อาการแทรกซ้อน
โรคหัดส่วนใหญ่อาการมักจะหายจากโรคได้เอง เกิดภาวะแทรกซ้อนได้น้อย โดยมักพบในเด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ปี หรือมีภาวะทุพโภชนาการ คือ ภาวะที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เหมาะสม ซึ่งภาวะแทรกซ้อนที่มักพบได้มีดังนี้…
-
โรคปอดอักเสบติดเชื้อ
-
โรคอุจจาระร่วง
-
หูชั้นกลางอักเสบ
-
ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
-
ส่วนน้อยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง สมองอักเสบได้
วิธีดูแลเบื้องต้นเมื่อลูกน้อยเป็น ‘โรคหัด’
เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส จึงไม่มียารักษาเฉพาะ คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกน้อยอยู่ที่บ้านได้ในเบื้องต้น หากอาการไม่รุนแรง โดยคุณหมอจะให้การรักษาตามอาการเหมือนโรคไข้หวัด เช่น
-
รับประทานยาลดไข้
-
ยาบรรเทาอาการอื่น ๆ เช่น ยาแก้ไอ
-
นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ
-
ปัจจุบันแนะนำให้รักษาด้วยวิตามินเอในผู้ป่วยโรคหัดทุกรายเป็นเวลา 2 วัน เนื่องจากสามารถช่วยลดภาวะแทรกซ้อนและลดอัตราการเสียชีวิตได้
-
หากพบว่าเจ้าตัวเล็กอาการไม่ดีขึ้น คือ มีอาการไอมาก เสมหะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเขียวหรือหายใจเหนื่อยหอบ ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
การป้องกันโรคหัดที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้
-
หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย เนื่องจากมีอัตราการติดเชื้อสูงมากหลังการสัมผัส
-
การฉีดวัคซีน โดยในปัจจุบันวัคซีนป้องกันโรคหัดจัดอยู่ในวัคซีนตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องฉีดให้เด็กทุกคน โดยแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด เข็มแรกที่อายุ 9-12 เดือน และให้ฉีดเข็มกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 2 ปีครึ่ง
ขอบคุณข้อมูลจากคุณหมอแอน พญ.ปิยะรัตน์ เลิศบรรณพงษ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
วันที่สร้าง 25/11/2025










