หนึ่งในปัญหาสุขภาพของเจ้าตัวเล็กเรื่องที่ทำคุณพ่อคุณแม่เป็นกังวลใจ นั่นก็คือ ‘โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ’ ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กและบางครั้งอาจรุนแรงและอันตรายมากกว่าที่คิด อีกทั้งยังมี hMPV ไวรัสตัวร้ายช่วงหน้าฝนที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้ทันอีกด้วย และบทความนี้คุณหมอจะพาคุณพ่อคุณแม่ไปทำความรู้จักเกี่ยวกับ ‘โรคระบบทางเดินหายใจ’ ของลูกน้อยกันค่ะ
ระบบทางเดินหายใจของลูกน้อย สามารถแบ่งตามตำแหน่งได้เป็น…
-
ทางเดินหายใจส่วนบน ได้แก่ รูจมูก โพรงจมูก โพรงไซนัส ช่องคอ ต่อมทอนซิล ต่อมอะดีนอยด์ กล่องเสียง
-
ทางเดินหายใจส่วนล่าง ได้แก่ หลอดลมใหญ่ หลอดลมฝอย ปอด
‘โรคระบบทางเดินหายใจ’ ในเด็กที่พบได้บ่อย มีอะไรบ้างมาดูกันค่ะ
โรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน
1. โรคไข้หวัด เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็ก เกิดขึ้นได้ทั้งทางเดินหายใจส่วนบน ไข้หวัด คออักเสบ ไซนัสอักเสบ ครูปหรือกล่องเสียงอักเสบ และทางเดินหายใจส่วนล่าง หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ
โดยปกติเด็กในวัยเรียนจะป่วยเป็นไข้หวัดประมาณปีละ 6-8 ครั้ง สาเหตุของโรคหวัดในเด็กมากกว่า 60-70% เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีมากมากกว่า 200 ชนิดขึ้นไป เชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยเช่น ไรโนไวรัส (Rhinovirus) ไข้หวัดใหญ่ (Influenza A & B) แต่บางครั้งโรคไข้หวัดอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียได้ เช่น เชื้อ Streptococcus
ไข้หวัดจากเชื้อไวรัสจะทำให้มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เจ็บคอ ไอจาม น้ำมูกใสไหล คัดจมูก แสบตา น้ำตาไหล ตาแดง ส่วนใหญ่จะมีอาการอยู่ประมาณ 5-7 วัน ก็จะหายเป็นปกติ ถ้าเป็นหวัดที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย น้ำมูกอาจจะมีสีเขียวปนเหลืองตั้งแต่วันแรก ๆ
2. หลอดลมอับเสบและปอดอักเสบเฉียบพลัน อาการจะเริ่มด้วยอาการแบบไข้หวัดก่อน แต่มักมีอาการไอมากและนานกว่าหวัดทั่วไป เชื้อไวรัสที่ระบาดในฤดูฝน เช่น RSV , Rhinovirus , hMPV , Mycoplasma มักทำให้เด็กเล็ก ๆ ป่วยเป็นหลอดลมอักเสบ ซึ่งอาจรุนแรงขึ้นเป็นปอดอักเสบได้ โดยหากมีอาการปอดอักเสบ ลูกน้อยมักจะมีอาการหอบเหนื่อย หายใจเร็ว ซึม กินได้น้อย มีไข้สูง ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์กันนะคะ
3. โพรงจมูกและไซนัสอักเสบ มีสาเหตุได้ทั้งการติดเชื้อและภูมิแพ้ เป็นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง อาจเกิดได้จากทั้งไวรัส แบคทีเรีย อาการของโรคไซนัสอักเสบ คือ มีน้ำมูกข้น น้ำมูกไหลลงคอ (Post-nasal drip) คัดจมูก ไอ ปวดที่ใบหน้า มีไข้ ลมหายใจมีกลิ่นเหม็นและมีกลิ่นปาก และเป็นนานเกิน 1-2 สัปดาห์
-
โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือแพ้อากาศ, ภูมิแพ้จมูก เช่น แพ้ไรฝุ่น แพ้ละอองเกสร ขนหมา ขนแมว เชื้อรา แมลงสาบ ฝุ่น PM 2.5 ควันจากการเผาไหม้ต่าง ๆ ควันบุหรี่ ควันธูป กลิ่นสารเคมี
ลูกน้อยจะมีอาการมีน้ำมูก คันจมูก จาม คัดแน่นจมูก เป็น ๆ หาย ๆ มักมีอาการในตอนเช้าทุก ๆ เช้า แล้วอาการค่อย ๆ ดีขึ้นในตอนสาย ๆ บางครั้งอาจมีอาการคันตา หรือมีเลือดกำเดาไหลเป็น ๆ หาย ๆ หรืออาจมีอาการคัดจมูกมาก จนมีอาการเจ็บหู หูอื้อ ร่วมด้วยได้ อาจมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวที่มีอาการภูมิแพ้
-
โรคหอบหืด ลูกน้อยจะมีอาการหอบ ไอ หายใจมีเสียงวี้ด ๆ เป็น ๆ หาย ๆ อาจมีอาการตอนวิ่งเล่น บางครั้งเป็นตอนค่ำ ๆ เมื่อได้ยาขยายหลอดลมแล้วอาการจะดีขึ้น มักมีประวัติเป็นภูมิแพ้ผิวหนัง โพรงจมูก หรือแพ้อาหารอยู่เดิม หรืออาจมีประวัติสัมผัสควันบุหรี่จากคนใกล้ตัว
-
โรคหลอดลมไว เป็นภาวะที่หลอดลมถูกกระตุ้นได้ง่าย โดยอาจตามหลังจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น RSV หรือเป็นอาการนำของโรคหอบหืด โดยลูกน้อยมักจะมีอาการไอมาก หรือหอบมีเสียงวี้ดเมื่อเวลาที่มีการป่วยเป็นหวัด จากการกระตุ้นของหลอดลมจากเชื้อไวรัส
-
ภาวะต่อมอะดีนอยด์และต่อมทอนซิลโต เจ้าตัวน้อยจะมีอาการนอนกรน หายใจแรง นอนดิ้น หลับไม่สนิท และมักจะชอบนอนคว่ำหรือนอนหัวสูงเพราะหายใจได้สะดวกกว่า หากมีอาการค่อนข้างมากอาจมีอาการหายใจสะดุด หยุดหายใจจนต้องนั่งหลับ ทำให้ลูกน้อยได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้มีอารมณ์หงุดหงิด ง่วงหลับระหว่างวัน การเรียนรู้ลดลง สมาธิลดลงได้
-
สิ่งแปลกปลอมอุดตันทางเดินหายใจ เช่น อาหาร ของเล่นชิ้นเล็ก ๆ สิ่งแปลกปลอม เช่น ลูกปัด หากสิ่งแปลกปลอมค้างอยู่ในรูจมูกเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นมาได้ จะมีอาการน้ำมูกสีเขียว ลมหายใจเหม็นในรูจมูกข้างเดียวที่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ แต่ถ้าหากสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าหลอดลมหรือปอด อาจจะทำให้เกิดปอดอักเสบซ้ำ ๆ ที่บริเวณเดิมที่สิ่งแปลกปลอมอุดอยู่ได้
เช็กอาการน่าสงสัยหรือสัญญาณเตือนให้เจ้าตัวเล็ก
-
มีน้ำมูก คัดจมูกเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ หรือหายใจมีเสียงดัง
-
ไอเป็น ๆ หาย ๆ เป็นมานานเกินกว่า 1-2 สัปดาห์
-
หายใจเสียงดัง หรือหายใจทางปาก
-
ไอมากจนรบกวนชีวิตประจำวันของลูกน้อย
-
ไอหรือหอบเหนื่อย หรือได้ยินเสียงวี้ด เวลาวิ่งเล่นออกกำลังกายหรือมีอากาศเปลี่ยนแปลง
-
นอนกรนและหรือร่วมกับหายใจสะดุด หยุดหายใจเป็นช่วง ๆ
-
เลือดกำเดาไหลบ่อย หรือไอเป็นเลือด
เคล็ดลับลดความเสี่ยงและวิธีป้องกันให้เจ้าตัวน้อย
-
รักษาสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง ด้วยการให้ลูกทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ , นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
-
ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่จับบริเวณใบหน้า หรือจมูกปาก
-
หากเจ้าตัวน้อยเริ่มมีอาการเจ็บป่วยไม่สบาย แนะนำให้พักผ่อนอยู่บ้านจนกว่าอาการจะดีขึ้น
-
หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชนหรือแออัด เช่น ศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์
-
ควรสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อป่วย หรือต้องไปในที่แออัด
-
หลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่ หรือควันท่อไอเสียจากรถยนต์หรือจากการเผาต่าง ๆ
-
ฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ เช่น แนะนำให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ , วัคซีนไอพีดี ที่สามารถป้องกันโรคติดเชื้อทางระบบหายใจได้
ขอบคุณข้อมูลจากคุณหมอแอน พญ.ปิยะรัตน์ เลิศบรรณพงษ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
วันที่สร้าง 25/09/2025